วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ลดหุ่นให้เข้าที่ ด้วยวิธีง่ายๆ


อยาก ลดหุ่นให้เข้าที่หรือ? ง่าย ๆ เลยค่ะ ลองเลือกทำตามวิธีลดความอ้วน ที่กระปุกดอทคอมนำฝากในวันนี้ ดูสิว่า วิธีไหนเหมาะสมกับคุณบ้าง หรือจะเลือกใช้ทุกวิธี เอาให้ผอมทันใจก็ย่อมได้ รับรองว่าดีต่อสุขภาพค่ะ
1.รับประทานผัก-ผลไม้มาก ๆ
อย่า ละเลยการรับประทานผัก-ผลไม้เด็ดขาดค่ะ เพราะผักผลไม้มีทั้งเส้นใย และสารอาหารต่าง ๆ ที่ดีกับคุณสาว ๆ แถมทานมากเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนด้วย
 2. หลีกเลี่ยงการทานอาหารทอด ๆ และติดมัน
อาหาร ทอด ๆ มาพร้อมกับน้ำมันที่จะมาทำให้คุณอวบอั๋นขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เช่นเดียวกับอาหารเนื้อสัตว์ติดมัน เช่น กุนเชียง หมูสามชั้นทอดกรอบ หนังไก่ กากหมู ถ้าไม่อยากอ้วน อดใจไว้ค่ะ
 3.ทานดาร์กช็อกโกแลต
ใช่ ค่ะ คุณหูไม่ฝาด เรากำลังแนะนำให้คุณทานช็อกโกแลต แต่ไม่ใช่ว่าช็อกโกแลตทั่ว ๆ ไปก็ทานได้หรอกนะคะ ต้องเป็นดาร์ก ช็อกโกแลตเท่านั้น ถึงจะมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์ และเป็นประโยชน์กับร่างกายของคุณสาว ๆ
 4. ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
แทบ จะทุกบทความ ที่แนะนำให้คุณดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8-12 แก้ว เพราะน้ำจะช่วยเร่งระบบการเผาผลาญ จึงช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินให้คุณด้วย ซ้ำยังช่วยให้คุณอิ่มเร็วขึ้นด้วย หากคุณดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนทานอาหารทุกครั้ง แต่อย่าชะแว้บ! ไปมอง "น้ำอัดลม" หรือ "น้ำผลไม้" เชียว ยกเว้น "น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง" ที่เราแนะนำให้คุณดื่มได้
 5.ดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้วหลังตื่นนอน
จำ และทำให้เป็นนิสัย เพราะการดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้ว ทันทีหลังจากที่คุณเพิ่งตื่นนอน จะทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังจะช่วยให้ระบบขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทั้งหนักทั้งเบา ทำงานได้อย่างคล่องตัว

 6.ทานอาหารเช้า
จำ ได้ไหมว่า อาหารเช้าคืออาหารมื้อสำคัญที่สุดของวัน ถ้าหากคุณสาว ๆ พลาดอาหารเช้าในช่วงเวลา 6.00-10.00 น.ไปล่ะก็ คุณอาจจะรู้สึกหิวในมื้อต่อ ๆ ไปมากขึ้น ทีนี้ล่ะ คุณอาจจะเผลอตัวเผลอใจสวาปามอาหารที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่ยั้ง แล้วจะลดน้ำหนักได้อย่างไรล่ะจ๊ะ
 7.กินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน
การ ไดเอท ไม่ได้สำคัญที่ว่าคุณทานอะไรเข้าไป แต่สำคัญที่ว่า ทำไมคุณถึงทานเข้าไปต่างหาก ฉะนั้นแล้ว หากใครชอบกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เพียงเพื่ออยากทานสิ่งนั้น จงเปลี่ยนพฤติกรรมด่วนค่ะ ทานให้แต่พออิ่มจะดีกว่า และควรทานเมื่อเวลาที่หิวจริง ๆ
8.ออกกำลังกายสำคัญสุด ๆ
แน่ นอนว่า หนึ่งในวิธีที่คนทั่วโลกแนะนำก็คือ การออกกำลังกายนี่แหละ เพราะมันจะช่วยรักษาน้ำหนักให้คงที่ในระยะยาวได้ แถมยังจะช่วยให้คุณเผาผลาญแคลอรีให้กลายเป็นพลังงานได้คราวละมาก ๆ ด้วย หากคุณสาว ๆ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ลองหาเวลาเดินวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน นอกจากคุณจะควบคุมน้ำหนักได้ดีแล้ว ยังจะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงอีกด้วยล่ะ
บทความจาก kapook.com

กินอย่างไรให้ผอม


คนอ้วนที่อยากผอมเร็วๆ มักจะใช้วิธีเดินเข้าคลีนิกลดความอ้วน ใช้ยาลดความอ้วน ซึ่งก็ได้รับผลที่ตามมาอย่างแสนสาหัส เพราะผอมลงจริงๆ ทันตาเห้นแต่ก็จะผอมอยู่ไม่นานแล้วก็จะกลับมาอ้วนอีกเหมือนเดิมหรืออ้วนกว่า เดิมด้วย นั่นเป็นเพราะแก้ปัญหาไม่ถูกวิธี แก้ที่ปลายเหตุ ไม่ได้แก้กันที่ต้นเหตุ ซึ่งก็คือนิสัยการกินนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้นหลายๆ คนยังได้รับผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจตามมาอีกมากมาย ซึ่งไม่คุ้มค่ากันเลย
เรา กลับมาแก้ไขปัญหากันที่ต้นเหตุกันดีกว่าค่ะ ก็คือแก้ไขนิสัยการกินของเราเนี่ยแหละค่ะ หยุด! อย่าเพิ่งบอกว่ามันยาก ทำไม่ได้นะคะ เรามีเคล็ดลับที่จะช่วยคุณให้สามารถแก้ไขนิสัยการกินนี้ได้ค่ะ ซึ่งต้องใช้ 3 ส่วนร่วมกันก็คือ ให้กำลังใจตนเองค่ะ รู้วิธีกินอย่างถูกต้อง และออกกำลังกายค่ะ
ให้กำลังใจตนเอง
ต้อง รีบทำลายวงจร ยิ่งกิน-ยิ่งอ้วน-ยิ่งอ้วน-ยิ่งกิน ให้ได้เสียก่อนค่ะ ขั้นแรก เมื่อคุณตื่นเช้ามาให้ส่องกระจกบานใหญ่ๆ เลยค่ะ สำรวจรูปร่างตัวเอง แล้วให้สัญญากับตัวเองเลยว่าฉันจะต้องมีรูปร่างที่ดีขึ้นให้ได้ บางคนอาจนำรูปดารานางแบบที่สวยๆ มาติดไว้เพื่อเป็นกำลังใจก็ได้ค่ะ ว่าฉันจะต้องมีรูปร่างสวยแบบนี้ให้ได้ หรือบางคนอาจจะเอารูปป้าอ้วนๆ แก่ๆ ที่เดินก็ไม่ค่อยจะไหว ใส่เสื้อผ้าก็โทรมๆ เก่าๆ มาเป็นอุทาหรณ์ให้ตัวเองว่าฉันจะต้องไม่เป็นแบบนี้เด็ดขาดก็ได้นะคะ แล้วแต่ใครใช้แบบไหนได้ผล มาถึงขั้นตอนที่ 2 คือหลังจากมืออาหารทุกครั้งมักจะเกิดอยากทานอาหารขึ้นมาอีก (ปกติของคนอ้วนล่ะค่ะ) ให้ถามตนเองว่า "จำเป็นต้องกินอีกจริงๆ หรือ" "ไม่กินได้มั้ย" ถ้าทำได้บ่อยๆ ต่อไปจะเกิดความกระดากใจและเลิกกินไปได้เองในที่สุด เพราะการกินจุบจิบหลังอาหารเนี่ยแหละ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้อ้วนง่ายที่สุด เพราะการกินจุบจิบนั้นจะเป็นพลังงานส่วนเกินซึ่งถูกนำไปสะสมเป็นไขมัน ทันที!! "ทุกๆ 250 แคลอรี่ที่ร่างกายได้รับเกินหรือเท่ากับพลังงานจากมันฝรั่งทอด 1 ถุง หรือไอศกรีม 1 ก้อน หรือช็อกโกแลต 1 แท่ง จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม 34 กรัม 1 เดือนจะเพิ่ม 1 กิโลกรัม" ดังนั้นต้องหาทางลดอาหารว่างหลังมื้ออาหารให้ได้ ขั้นตอนที่ 3 คือกำหนดจิตใจว่า "น้อยเหมือนมาก" ทุกครั้งที่ตักอาหารเข้าปากให้คิดในใจเดือนตนเองให้ได้ว่าอาหารคำนี้จะกลาย เป็นคำใหญ่ ทำให้อ้วนขึ้นได้ในเวลาไม่นาน แล้วเคี้ยวอาหารคำนั้น (ทุกคำ) อย่างช้าๆ (ทำให้อิ่มเร็วและทานได้น้อยลงด้วย) ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะรู้สึกว่าการทานอาหารเป็นเรื่องที่ยากขึ้น ขั้นตอนสุดท้าย คือมาปลอบใจท้ายวัน เพราะว่าเพียงวันเดียว ยังไม่สามารถผอมลงได้อย่างทันตาเห็นหรอก หลายคนก็จะท้อแท้ ดังนั้น จะต้องไปยืนหน้ากระจกเช่นเดียวกับตอนเช้า และพูดว่า "น้ำหนักตัวลดไม่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว จะต้องค่อยๆ ลด พรุ่งนี้ต้องพยายามต่อไปอีกเรื่อยๆ น้ำหนักก็จะลงในที่สุด" ทำเช่นนี้เพื่อป้องกันการท้อแท้เลิกลดอาหารเสียก่อนนั่นเอง ในขั้นตอนการให้กำลังใจตนเองสำคัญที่สุดเพราะการลดน้ำหนักนี้จะสำเร็จได้ หรือไม่ขึ้นกับตัวเราเองเป็นสำคัญ ถ้าเรายอมแพ้ไปซะก่อนก็จะไม่สำเร็จอย่างแน่นอน
เรียนรู้วิธีกินอย่างถูกต้อง
เมื่อ จิตใจมั่นคงแล้วจะต้องเรียนรู้ว่าอาหารใดให้ประโยชน์กับเราบ้าง หลายคนเชื่อว่าการไม่ทานอาหารที่มีไขมัน ไม่ทานกะทิ แต่ทานแต่ผักกับโยเกิร์ตจะทำให้ผอมลงได้ แต่ก็ยังไม่เห้นลดได้ซะที ซ้ำยังสุขภาพแย่ลงกว่าเดิมด้วย เพราะนั่นเป็นการเข้าใจผิดๆ ค่ะ การรับประทานอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งน้อยเกินไปจะมีผลทำให้สัดส่วนของอาหาร อีกอย่างมากไปโดยอัตโมัติ (เพราะร่างกายต้องการสารอาหารที่มีสัดส่วนพอเหมาะในการทำปฏิกิริยาในร่างกาย หากมีส่วนใดที่มากไปก็จะเหลือเก็บเป็นไขมันได้) การทานอาหารที่ถูกต้องคือทานให้ครบ 5 หมู่ จะขาดหมู่ใดหมู่หนึ่งไม่ได้ การรับประทานมากเพียงหมู่เดียวไม่ใช้วิธีที่ถูกต้อง บางคนทานแต่ผัก หรือธัญพืชอย่างเดียวโดยลดการทานอาหารประเภทอื่นหมด วิธีที่ถูกต้องคือ ลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อลงแต่ยังคงทานครบทุกส่วน วิธีนี้จะทำให้น้ำหนักลดและร่างกายไม่อ่อนแอด้วย และพฤติกรรมอีกอย่างที่ต้องเปลี่ยนก็คือ อาหารเช้าควรเป็นมื้อหนัก ไม่ใช่อาหารเย็น มื้อเย็นควรเป็นอาหารเบาๆ และห้ามทานมื้อดึกเป็นอันขาด!!! ถ้าติดของขบเคี้ยวให้เตรียมเป็นแครอท กะหล่ำปลี แตงกวา หั่นป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ตู้เย็นไว้ทานแทนพวกมันฝรั่งทอดดีกว่า
การออกกำลังกาย
หลาย คนหาข้ออ้างสารพัดว่าไม่มีเวลา ไม่มีที่จะออกกำลังกาย เหล่านี้เป็นข้องอ้างที่ปิดบังความจริงที่ว่า "ขี้เกียจ" ออกกำลังกายนั่นเอง เพราะแค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ลองมาเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ดีกว่า ลองออกกำลังกายที่สนุกๆ ด้วยการเปิดเพลงไปด้วยแบบเต้นแอโรบิกก็ได้ เดี๋ยวนี้มีท่าเต้นออกกำลังกายที่ทำให้สนุกสนานมากมายเช่น การออกกำลังกายกึ่งๆ การฝึกการต่อสู้ หรือ Combat หรือแบบที่แตกแขนงออกมาจกโยคะก็มีเช่น ชิบอล เป็นต้น ลองหาคอร์สการออกกำลังกายที่สนุกๆ ใหม่ๆ ทันสมัย และลองหาเพื่อนไปเล่นด้วยกันจะได้ผลกว่าเล่นคนเดียวด้วยค่ะ
ทั้ง 3 สิ่งนี้จะต้องประสานกันให้ได้ ทำอย่างสม่ำเสมอไปพร้อมๆ กัน  เมื่อน้ำหนักตัวลดลงแล้วก็จะต้องคงน้ำหนักไว้เช่นนี้ไม่ให้เพิ่มขึ้นมาอีก ระยะหนึ่ง (เป็นเดือนค่ะยิ่งอายุเยอะเท่าไหร่ยิ่งนานค่ะ เพราะร่างกายยืดหยุ่นไม่ไดีเท่าเด็กๆ) ให้ร่างกายได้ปรับตัวอยู่เช่นนั้น แล้วจึงหยุดได้ (แต่ยังใช้นิสัยการกินอันใหม่นะคะ) แต่ถ้าหากว่ากลับไปตามใจปากเหมือนเดิม น้ำหนักก็เพิ่มขึ้นได้อีกไม่ยากเช่นกันค่ะ

ลดน้ำหนักให้เหมาะกับตัวเอง


สาวยุคใหม่ มักมีปัญหาเรื่อง "น้ำหนัก" อย่างหนักที่สุดคือเป็น "โรคอ้วน" อย่างหลังนี่ถือเป็น "โรค" ต้องหาหมอรักษา แต่ถ้าน้ำหนักเกินไปนิด ขาดไปหน่อย รักษาด้วยตัวเองได้ แต่ต้องมีข้อมูล มีผู้รู้ให้คำปรึกษาแนะนำ
เมื่อ รู้ตัวหรือรู้สึกว่า เริ่มมีไขมันมาติดเกาะ หรือน้ำหนักเพิ่มเร็ว อึดอัด เสื้อผ้าคับ หลายคนคงนึกถึงโปรแกรมลดน้ำหนักด้วยอาหาร หรือการออกกำลังกายรีดไขมัน รักษาทรวดทรง หากคนเรานั้นเรื่องกินทำใจลำบาก เป็นเรื่องยากที่ต้องจำกัดอาหาร กินให้น้อยลง หรือกินไขมัน-คาร์โบไฮเดรต ลดลง ยากยิ่งกว่าตอนเข้ายิมออกกำลังกาย
การ ลดน้ำหนักจึงเป็นเรื่องหนักหนาสาหัส ผู้ประสบปัญหาน้ำหนักเกินรู้ดีว่า กว่าจะลดน้ำหนักได้สัก 1 กก. นั้น ยากนัก ใช้เวลา ใช้ความอดทนสูงสุด ฉะนี้ สูตรอาหารลดน้ำหนักของบรรดาดอกเตอร์และนักโภชนาการทั้งหลาย จึงขายดี ขายข้ามทวีป อาทิ สูตรอาหารโลว์-คาร์บ ของ ดร.แอ๊ทกินส์ อ่านแล้วอาจถอดใจ เพราะมักเป็นสูตรอาหารฝรั่ง ซึ่งตามปกติวิสัยคนไทยย่อมชอบกินอาหารไทย มีรสจัดเข้มข้น อาหารฝรั่งอร่อยเฉพาะบางมื้อ ไม่ใช่ทุกมื้อ แต่การลดน้ำหนัก ก็ไม่สาหัสหรอก ถ้าคุณพยายามใฝ่รู้ แสวงหาข้อมูลใส่ตัว ลดน้ำหนักอย่างไรให้เหมาะกับคุณ แนะวิธีปฏิบัติตนที่เหมาะสม สอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคของแต่ละคน ใครมีนิสัยการกินอย่างไร ลองเอาไปปรับใช้ มีดังนี้.-
1. รับประทานอาหารไขมันต่ำ (Low-fat diets)
คือ การจำกัดปริมาณอาหารประเภทเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นม แต่ใช่ว่าจะกินแต่ผัก ผลไม้ได้หมด อาหารผัก-ผลไม้ ธัญพืช ก็ต้องเลือกชนิดที่มีไขมันต่ำด้วย การควบคุมอาหารประเภทนี้เหมาะสำหรับ
- คนที่ชอบรับประทานเนื้อสัตว์น้อยอยู่แล้ว
- คนที่ชอบกินผัก ผลไม้ และธัญพืช
- ต้องรับประทานอาหารในปริมาณมากถึงจะรู้สึกอิ่ม และควรรับประทานอาหารทุกๆ 4-5 ชั่วโมง
- ไม่ชอบกินข้าวนอกบ้านมากนัก จึงไม่ค่อยมีผักผลไม้ให้เลือก และมีระดับคอเลสเตอรอลสูง
2. รับประทานอาหารพลังงานต่ำ (Low-caloric diets)
การ ควบคุมอาหารแบบนี้เน้นกินให้อิ่มนานขึ้น ปริมาณอาหารที่ได้รับจะน้อยลง ในขณะที่ยังสามารถควบคุมความหิวได้ ควรมีผลไม้รสหวานแต่ให้พลังงานต่ำติดบ้านไว้เสมอ เช่น องุ่น แตงชนิดต่างๆ หรือฟรุ้ต บาร์ แช่แข็ง การลดน้ำหนักด้วยการกินประเภทนี้ เหมาะสำหรับ
- คนที่ชอบรับประทานอาหารหลากหลาย ไม่เน้นปริมาณ
- พบว่าตัวเองชอบอยู่หน้าตู้เย็น และพยายามเลือกอาหารที่ตัวเองอยากรับประทาน
- กินอาหารได้น้อยและเลือกเฉพาะอย่างที่ตัวเองชอบ
- เคยเลิกควบคุมน้ำหนักอยู่หลายครั้ง เนื่องจากโปรแกรมอาหารที่ซ้ำซากจำเจ
3. การรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ (Low-carb diets)
เป็น การรับประทานอาหารโปรตีนและไขมันให้มากขึ้น โดยลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตลง แต่ยังสามารถรับประทานอาหารประเภทไขมันอิ่มตัวสูง ได้เท่าที่ต้องการ เช่น ชีสเบอร์เกอร์หรือเบคอน แต่ต้องจำกัดอาหารประเภทผักที่มีแป้ง ผลไม้รสหวานจัด ขนมปัง และธัญพืช วิธีนี้เหมาะกับ
- คนที่ชอบรับประทานเนื้อสัตว์ ชีส และไข่ รู้สึกไม่อิ่มถ้าไม่ได้รับประทานอาหารดังกล่าว
- ไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารหลากหลายชนิด
- สามารถจำกัดปริมาณผักผลไม้ได้
- ไม่เน้นกินขนมปัง พาสต้า หรือของหวาน
- ชอบกินอาหารนอกบ้าน หรือเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งสามารถเลือกเมนูง่าย ๆ ประเภทปลา หรือสลัดผัก ก็ได้ ลดน้ำหนักด้วยอาหารอย่างถูกวิธีแล้ว อย่าลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้โปรแกรมลดน้ำหนักของคุณสัมฤทธิผล
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ 

ปรับสมดุลชีวิตง่ายๆด้วยตัวเอง


การแพทย์แผนตะวันออกเชื่อว่า สุขภาพคนเราเกี่ยวพันกัน 3 ส่วน คือ กาย จิต และสิ่งแวดล้อม เมื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสียสมดุลย่อมส่งผลต่อร่างกาย และทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ตั้งแต่ ปวดหัว ตัวร้อน จนถึงโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งได้ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของสังคม วัฒนธรรม ช่วงเวลา และพื้นฐานของแต่ละคนแตกต่างกัน การดูแลสุขภาพรูปแบบต่างๆ จึงไม่ได้เหมาะสมสำหรับทุกคน

บันได 5 ขั้นเพื่อสมดุลชีวิต
ขั้นที่ 1 ฟังเสียงร่างกาย
คุณ สามารถสังเกตได้ว่าสิ่งไหนที่เหมาะกับตัวเอง หากรู้สึกร้อนหรือหนาวเกินไป รู้สึกเจ็บปวด หรือแสบ ควรหยุดพฤติกรรมที่ส่งผลด้านลบต่อร่างกายนั้นทันที เพราะร่างกายเรามีความฉลาดพอที่แยกแยะสิ่งดีและไม่ดีร่างกาย แต่ทั้งนี้ต้องสังเกตด้วยนะคะ ว่าเสียงนั้นเป็นความต้องการของร่างกายจริงๆ หรือเกิดจากกิเลสในใจเราเอง

ขั้นที่ 2 สังเกตความเปลี่ยนแปลง
เมื่อ ร่างกายเสียสมดุลอาจแสดงออกทางส่วนต่างๆ ของร่างกาย หากหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงก็สามารถแก้ไขและป้องกันตนเองจากโรคภัยไข้ เจ็บได้ทัน เช่น ความผิดปกติที่ตา มีอาการตาห้ง ตาขาวขุ่น ตามีสีเหลือง , ริมฝีปากแห้ง แตกลอก , ลิ้น สามารถดูได้ทั้งสี รูปร่าง และขอบลิ้น , กลิ่นปาก หรือเล็บ ซึ่งสังเกตได้ทั้งสีและรูปทรงของเล็บ ถ้าเล็บขาว อาจมีปัญหาที่ตับ เล็บเป็นสีแดง บวมโต อาจมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ เล็บเหลือง หนา ยาวช้า อาจมีปัญหาที่ปอด เป็นต้น เรื่องเหล่านี้เป็นการสำรวจร่างกายในเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้สรุปว่าต้องป่วยเป็นโรคร้ายเสมอไป แต่เพื่อความไม่ประมาณคุณควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยอย่าง ละเอียดต่อไป

ขั้นที่ 3 ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
บ่อย ครั้งที่เราดำเนินชีวิตตามความพอใจ จนส่งผลเสียต่อร่างกาย การสร้างความสมดุลจึงต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เกิดความเหมาะสมทั้งต่อร่าง กายและจิตใจ โดยเริ่มจาก
ตื่น นอนแต่เช้ามืดก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ทำความสะอาดปากและฟันด้วยการแปรงฟัน และขูดทำความสะอาดลิ้น ซึ่งจะเป็นการบริหารลิ้นไปในตัวด้วย ดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว หรือตามความต้องการของร่างกาย เพราะน้ำจะช่วยขับของเสียทางไตและลำไส้ใหญ่ดีขึ้น
อาบน้ำชำระร่างกาย วันละ 2 ครั้ง
เข้า นอนก่อน 22.00 น. การนอนที่ดีต้องไม่ฝันและตื่นนอนด้วยความสดชื่น ควรนอนในเวลากลางคืนเท่านั้น ยกเว้นอ่อนเพลียหรือไม่สบาย หรือผู้สูงอายุสามารถนอนกลางวันได้
ไม่ควรนอนหลับในท่านอนคว่ำหน้า เพราะทำให้อวัยวะภายในถูกกดทับ
ขั้นที่4 สร้างสมดุลด้วยการบริโภค
กิน เมื่อรู้สึกหิว เพราะความหิวหมายความว่าร่างกายได้เผาผลาญอาหารมื้อก่อนหมดแล้ว การกินอาหารเมื่อยังไม่หิวเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยหลายอย่างทั้ง เบื่ออาหาร ท้องอืด ไปจนถึงการถ่ายอุจาระทันทีหลังจากกินอาหาร เลือดจาง หรือปวดท้องบ่อยๆ แต่ถ้าถึงเวลากินแล้วยังไม่รู้สึกหิวแสดงว่าธาตุไฟหรือระบบย่อยอาหารอาจเสีย สมดุล อย่ากินในขณะที่อารมณ์ผิดปกติ เพราะจะทำให้ระบบย่อยอาหารเสียสมดุลและทำงานได้ไม่เต็มที่ อาหารเช้าควรเป็นอาหารเบา เช่น ข้าวต้ม และควรกินก่อน 8.00 น. กินมื้อกลางวันก่อนเที่ยง ซึ่งควรเป็นมื้อที่หนักที่สุด และกินมื้อเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน (18.00 น.) เพราะการกินมื้อเย็นในตอนค่ำระบบเผาผลาญอาหารจะทำได้ไม่ดี (แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ ก็ไม่ควรกินอาหารมากจนเกินไป) กินอิ่มมากเกินไปไม่ดีต่อสุขภาพ และควรเคี้ยวอาหารช้าๆ ไม่ควรดื่มน้ำมากก่อนหรือหลังกินอาหารเพราะมีผลต่อระบบย่อยอาหาร กินอาหารในบรรยากาศที่รื่นรมย์ สถานที่เหมาะสม ไม่มีเสียง กลิ่น หรือสิ่งรบกวน หลังกินอาหารควรนั่งพัก 2-3 นาที แล้วอาจเดินเล่น 10-20 นาที เพื่อช่วยย่อยอาหาร
งดอาหารสัปดาห์ละ 1 วัน เพื่อช่วยลดพิษในร่างกาย
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
อาหารจานด่วน
เพราะ อุดมไปด้วยแป้ง ไขมัน น้ำตาล โปรตีน และมีแคลอรี่เกินกว่าที่ร่างกายต้องการ อาหารที่มีโปรตีนมากเกินไป ในผู้ใหญ่ร่างกายต้องการโปรตีนวันละ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่ในเด็กและวัยรุ่นอาจต้องการโปรตีนมากกว่านั้นเล็กน้อย เมื่อร่างกายย่อยโปรตีนใช้แล้วจะเกิดกรดยูริกขึ้น หากบริโภคโปรตีนมากเกินไป กรดยูริกส่วนเกินจะเข้าสู่กล้ามเนื้อ สะสมและตกตะกอน ทำให้ปวดเมื่อยเวลาเคลื่อนไหว ถ้ากรดยูริกไปตกตะกอนที่ข้อต่อจะทำให้กลายเป็นโรคเกาต์ หรือหากไปรวมอยู่ในเส้นประสาทจะกลายเป็นโรคเส้นประสาทอักเสบและเกิดอาการปวด ตามเส้นประสาท นอกจากนี้โปรตีนที่มากเกินไปยังทำให้ไตทำงานหนัก และอาจทำให้ไตพิการในผู้สูงอายุ
เนื้อสัตว์บางประเภท
ก่อน ที่สัตว์จะถูกฆ่า โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ จะปล่อยสารแห่งความกลัว เช่นฮอร์โมนอะดรีนาลินออกมา ซึ่งสารเหล่านี้ยังตกค้างอยู่ทั่วไปในเนื้อสัตว์ เมื่อเรากินเนื้อเข้าไปจึงได้รับสารพิษเหล่านี้เข้าไปด้วย
น้ำตาลทรายและแป้งขัดขาว
เป็น สาเหตุของโรคกระดูกผุ เพราะร่างกายต้องดึงแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบีรวมมาช่วยย่อยน้ำตาล การกินหวานมากเกินไปยังทำให้ร่างกายใช้พลังงานจากน้ำตาลไม่หมด และเก็บสะสมไว้ในรูปของไขมันตามส่วนต่างๆ ทำให้เกิดโรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน และฟันผุ
แป้งขัดขาว หรือข้าวขัดขาวทุกชนิด
มี คุณค่าทางอาหารน้อย มีเพียงคาร์โบไฮเดรตเท่านั้น ซึ่งต้องใช้วิตามินบีมาช่วยในการย่อย แต่แป้งขัดขาวไม่มีวิตามินปะปนอยู่เลย ทำให้ร่างกายต้องดึงวิตามินในร่างกายมาใช้ จึงเกิดการเสียสมดุลขึ้น น้ำอัดลม เป็นเพียงพลังงานเทียม ไม่มีสารอาหารใดๆ ทั้งวิตามิน และกรดอะมิโน การกินน้ำอัดลมทำให้ตับต้องทำงานหนักเพื่อขจัดพิษ จนเกิดภาวะตับโตได้
สุรา กาแฟ
มีผลกระทบโดยตรงต่อแคลเซียมในร่างกาย และทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน
อาหารเย็นจัด หรือร้อนจัด
อาหาร ที่เย็นจัดเกินไปทำให้เพดานในปากเกิดอาการช็อค มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน การกินอาหารเย็นจัดจึงควรกินช้าๆ และค่อยๆกิน เช่นเดียวกับอาหารร้อนจัดเมื่อกินเข้าไปก็ส่งผลต่อกระเพาะ และลำไส้ได้

ขั้นที่ 5 สร้างสมดุลใจ
มี การพิสูจน์แล้วว่าเมื่อจิตใจไม่ดี ทั้งคิดร้ายหรือซึมเศร้า ร่างกายจะหลั่งสารเคมีพิษบางอย่างออกมา ทำให้ส่งผลกระทบต่อร่างกาย การคิดเชิงบวกจึงมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า โดยอาจเริ่มจากการยึดหลักธรรม อาทิ พรหมวิหาร 4 หรืออิทธิบาท4 ในการดำเนินชีวิต , หมั่นฝึกจิตด้วยการนั่งสมาธิวันละประมาณ 10 นาที และทำบุญในแบบที่คุณชอบ เช่นบริจาคโลหิต บริจาคหนังสือ หรือเข้าวัด ฟังธรรมะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

เซลลูไลท์ สารพัดวิธีกำจัดง่ายๆ ด้วยตัวเอง


เซลลูไลท์  ถือเป็นปัญหาใหญ่มากสำหรับสาวๆ  ไม่ว่าจะสาวหุ่นเพรียวหรือสาวอวบ  ก็มีโอกาสเกิดเซลลูไลต์ได้  วิธีเช็ก เซลลูไลท์ ง่ายๆ ด้วยการบีบบริเวณผิวหากเกิดลักษณะคล้ายผิวเปลือกส้ม นั้นแสดงว่าคุณกำลังมี เซลลูไลท์  ซึ่งเซลลูไลต์เกิดจาการที่บริเวณนั้นเลือดไหลเวียนช้า  ในร่างกายของเรามีของเสียเกาะอยู่ตามเนื้อเยื่อ ของเหลวที่เป็นของเสียจะเข้าไปดันทำให้ไขมันที่อยู่บริเวณนั้นแข็งตัวเป็น ถุง  ทำให้เลือดไหลเวียนตามร่างกายไม่สะดวก จึงทำให้เกิดการกระจุกอยู่ตามต้นแขน ต้นขาและสะโพก มาเริ่มต้นกำจัด เซลลูไลท์ วิธีง่ายๆ ด้วยตนเอง
เริ่ม ต้นจากการตื่นนอนในตอนเช้าก่อนแปรงฟัน  ดื่มน้ำในอุณหภูมิปกติ 2 แก้ว  ช่วยให้ร่างกายตื่นตัวและเพิ่มการเผาผลาญในตัวให้ย่อยอาหารได้ดีขึ้น

การ ดื่มน้ำวันละ 3 ลิตร ด้วยวิธีการค่อยๆ จิบทีละนิดช่วยลด เซลลูไลท์ ต้นขา อย่าดื่มรวดทีเดียว เพราะไม่เช่นนั้นการดื่มน้ำของคุณอาจจะก่อให้เกิดอาการบวมน้ำได้

อย่า ใส่กางเกงขาสั้น หรือกระโปรงสั้นๆ ในขณะที่อยู่ในห้องแอร์  เพราะอากาศเย็นจะทำให้ร่างกายสร้างไขมันเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น เมื่อส่วนที่อยู่ด้านนอกเครื่องนุ่งห่ม เช่น แขน ขา  ก็จะทำให้บริเวณดังกล่าวสะสมไขมันเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

เลี่ยง การดื่ม ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่คุณได้ยินมาว่าสามารถลดความอ้วนได้  เพราะในเครื่องดื่มเหล่านั้นอุดมไปด้วยสารเติมความหวาน  เมื่อคุณดื่มเข้าไปความหวานเหล่านั้นอาจจะทำให้คุณไม่รู้สึกหิว  แต่การดื่มสารเติมความหวานเข้าไปมากๆ ก็มีโอกาสเสี่ยงอ้วนได้ ความอ้วนก็จะถามหาเอาค่ะ

เปลี่ยนการรับประทานอาหารจาก ไขมันไม่ดี ด้วยการรับประทานไขมันดีเข้าไป  หลีกเลี่ยงอาหารฟาสต์ฟู้ด นมเนย อาหารผสมสีอาหารเทียม  เพื่อไม่ให้ตับทำงานหนักมากเกินไป

ออก กำลังกายด้วยการวิ่ง เล่นฟิตเนส จะช่วยเร่งให้เกิดการไหลเวียนของเลือดได้ดี ยกน้ำหนัก จะช่วยลดการไหลเวียนของเลือดได้ดี หรือการออกกำลังกายเฉพาะส่วนก็จะช่วยให้กระชับและสลายไขมันได้รวดเร็วขึ้น

นวด บริเวณที่เกิดเซลลูไลต์ เพื่อเป็นการกระตุ้นร่างกาย  ด้วยวิธการ กางนิ้วทาบลงที่ขาเริ่มจากข้อเท้า โดยนวดขึ้นมาที่ขาอ่อน เน้นจุดที่มันหยุ่นๆ นิ่มๆ เหมือนฟองน้ำ ทำซ้ำกับอีกข้างทุกๆ เช้า อดทนหน่อย เมื่อทำควบกับอีก 2 วิธี ไม่ช้ามันก็จะลดลงได้

ทา โลชั่นที่ช่วยลดเซลลูไลต์ ซึ่งอาจจะได้ทั้งลด เซลลูไลท์ และได้บำรุงผิวไปด้วย  ไม่ต้องตบจนผิวแดงอย่างที่เคยทำกัน เพราะโลชั่นนี้มีการทดสอบเพื่อช่วยให้เซลลูไลต์บางเบาลงได้

เพียง แค่ปฏิบัติตามวิธีง่ายๆ เหล่านี้ก็สามารถช่วยให้สาวๆ ลด เซลลูไลต์ ได้เยอะทีเดียว  อย่าลืมดูแลเรื่องอาหารการกินและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก women.mthai

ยาลดความอ้วน อันตรายที่คุณไม่ควรมองข้าม


“ความอ้วนนั้นนำมาซึ่งความทุกข์” หลายๆคนคงเชื่ออย่างนั้นใช่ไหมครับ ใช่แล้วครับ คงไม่มีใครอยากอ้วนจนถูกคนรอบข้างล้อแน่ๆ เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้เสียความมั่นใจอย่างสุดๆแล้ว ความอ้วนยังทำให้โอกาสเสี่ยงต่อโรคร้ายหลากหลายชนิดเพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถึง อีกด้วย เพราะฉะนั้นเราจึงจะเห็นได้ว่าในยุคที่ข่าวสารกว้างไกลเฉกเช่นยุคปัจจุบัน นี้แล้ว คนอ้วนหลายๆคนจึงหันมาใส่ใจในเรื่องของการลดความอ้วนกันมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามการลดน้ำหนักก็ต้องดำเนินไปอย่างถูกวิธี ซึ่งในกรณีนี้เองที่มีกลุ่มผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักจำนวนมากเดินทางผิดสาย เลือกลดน้ำหนักโดยการใช้ “ยาลดความอ้วน” ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการลดความอ้วนที่มีความอันตรายสูงและสามารถส่งผลกระทบใน เชิงลบให้แก่ผู้ที่รับประทานเข้าไปได้อย่างคาดไม่ถึง
ใน ความเป็นจริงแล้วการรับประทานยาลดความอ้วนโดยที่ไม่ให้เป็นอันตรายต่อชีวิต นั้นก็สามารถทำได้ แต่ก็ต้องอยู่ในการดูแลควบคุมของแพทย์อย่างต่อเนื่องซึ่งในกรณีที่ยาก่อ อันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิตในสาวๆหลายรายนั้นก็เป็นเพราะได้ซื้อผ่านทาง อินเตอร์เน็ทและมีการใช้งานยาอย่างผิดวิธีโดยที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำ แนะนำนั่นเอง ซึ่งตามปกติแล้วยาลดความอ้วนนั้นจะมีฤทธิ์ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกไม่อยากอาหาร อิ่มเร็วขึ้น ระบบเผาผลาญของร่างกายทำงานได้มากกว่าปกติ ซึ่งการรับประทานยาชนิดนี้เป็นจำนวนมากๆติดต่อกันไปเรื่อยๆจะทำให้ผู้ใช้ยา เกิดอาการหัวใจตายเฉียบพลันได้ ซึ่งถือว่าเป็นอาการความผิดปกติของร่างกายที่เกิดขึ้นฉับพลันและมีโอกาสการ เสียชีวิตสูง อีกทั้งยังทำให้หัวใจเกิดอาการผิดปกติเต้นผิดจังหวะ และในตัวยาเองก็มีสารกล่อมประสาทแฝงอยู่เล็กน้อยซึ่งถ้าใช้ยาติดต่อกันเป็น ระยะเวลาหลายๆเดือนก็จะทำให้ผู้ใช้ยามีอาการจิตตก ประสาทหลอนได้อีกต่างหาก อย่างไรก็ตามถ้าเราใช้ยาลดน้ำหนักเป็นระยะเวลาสั้นๆและมีแพทย์คอยดูแลอย่าง ใกล้ชิดก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่อันตราย
นอก จากการใช้ยาผิดขนาดใช้ยามากเกินไปแล้ว การใช้ยาควบคู่กันหลายๆตัวก็อาจจะทำให้อันตรายถึงชีวิตคืบคลานมาหาเราได้ เช่นเดียวกัน หรือที่เรียกว่าอาการยาตีกันนั่นเอง เพราะฉะนั้นแล้วผู้ใดที่ต้องการลดความอ้วนด้วยวิธีนี้และไม่มีแพทย์ดูแลให้ คำแนะนำอย่างใกล้ชิดก็แนะนำให้ลดด้วยวิธีอื่นจะดีกว่าครับ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมอาหารหรือการออกกำลังกายแบบคาดิโอก็ถือได้ว่าเป็นทาง เลือกที่น่าสนใจกว่า และที่สำคัญการลดความอ้วนด้วยการออกกำลังกายยังทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นอีก ต่างหาก

อันตรายจากการลดน้ำหนัก


 การลดความอ้วนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่หลายๆคนเริ่มสนใจและเริ่มศึกษาให้ความสำคัญกันมากขึ้น เนื่องด้วยในทุกๆวันนี้อาหารขยะนั้นได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากยิ่ง ขึ้นด้วยสาเหตุหลายๆประการด้วยกันไม่ว่า รสชาติที่อร่อย , การใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ดังนั้นปริมาณคนอ้วนก็จึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนการลดความอ้วนได้กลายมาเป็น อีกเรื่องหนึ่งที่หลายๆคนให้ความสำคัญนั่นเอง และอย่างที่เราทราบกันดีว่าการลดความอ้วนนั้นก็ประกอบไปด้วยหลากหลายวิธีมาก มายไม่ว่าจะเป็นวิธีการลดความอ้วนด้วยตัวเองหรือการใช้การแพทย์สมัยใหม่เข้า มาช่วย ซึ่งการที่เราจะเลือกวิธีการลดความอ้วนนั้นก็ถือว่าเป็นขั้นตอนที่เราต้อง ใส่ใจให้มากๆเนื่องจากการลดความอ้วนแบบผิดวิธีนั้นอาจจะทำให้เกิดอันตรายแก่ ชีวิตได้ ยกตัวอย่างเช่น การกินยาลดความอ้วนแล้วช็อคหัวใจวายที่เห็นได้บ่อยครั้งตามหน้าหนังสือพิมพ์ คำถามก็คือแล้วเราจะลดความอ้วนอย่างปลอดภัยได้อย่างไร
สำหรับ วิธีการลดความอ้วนที่อันตรายมากๆอย่างการกินยาลดน้ำหนักนั้นก็ถือว่าเป็น วิธีการลดความอ้วนที่ควรจะหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด ซึ่งหลายๆคนก็อาจจะสงสัยว่ามันอันตรายจริงเหรอ ? ทำไมรับประทานไปสักพักแล้วก็ไม่เห้นจะมีอาการแทรกซ้อนแต่อย่างใด ? ซึ่งก็ต้องบอกเลยว่าการรับประทานยาลดความอ้วนเป็นประจำจะทำให้สารเคมีตกค้าง และอาจจะทำให้เกิดสภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้ไม่วันใดก็วันนึง ซึ่งในกรณีนี้เองที่ทำให้ผู้ที่นิยมลดความอ้วนด้วยวิธีนี้หลายๆคนได้เสีย ชีวิตไปหลายรายแล้ว ดังนั้นเราจึงต้องเรียนรู้วิธีการลดความอ้วนที่ปลอดภัย ซึ่งก็จะแบ่งเป็นสองวิธีด้วยกันได้แก่ การลดความอ้วนด้วยการควบคุมอาหาร , และการลดความอ้วนด้วยการออกกำลังกายประเภทคาดิโอ
การลดความอ้วนด้วยการควบคุมอาหารทำได้อย่างไร ?
สำหรับ การลดความอ้วนด้วยการควบคุมอาหารนั้นก็คือการเปลี่ยนนิสัยการกินของเรานั่น เอง ยกตัวอย่างเช่น บางคนอาจจะกินข้าวมื้อละสองทัพพีก็ให้ปรับลงมาให้เหลือเพียงทัพพีเดียวและทด แทนด้วยการกินช้าๆซึ่งจะทำให้เรารู้สึกอิ่มพอดีเมื่อทานเสร็จ และลดการกินจุกจิกนอกมื้อออกไป โดยเฉพาะของทอดให้พยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
การลดความอ้วนด้วยวิธีการออกกำลังกายแบบคาดิโอคืออะไร ?
การ ออกกำลังกายแบบคาดิโอก็คือการออกกำลังกายประเภทที่ต้องออกแรงเรื่อยๆไม่มี หยุดพักเป็นระยะเวลา 40-60 นาทีขึ้นไป ยกตัวอย่างเช่น การวิ่ง , การว่ายน้ำ ,การปั่นจักรยานเป็นต้น ซึ่งการออกกำลังกายชนิดนี้จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้นเรื่อยๆซึ่ง เมื่ออัตรการเต้นของหัวใจขึ้นไปถึงระดับที่พอเหมาะแล้วร่างกายก็จะหลั่งสาร ชนิดหนึ่งออกมาซึ่งจะทำให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายดียิ่งขึ้น และนอกเหนือไปกว่านั้นการออกกำลังกายชนิดนี้เมื่อผ่านพ้นนาทีที่ 40 เป็นต้นไปร่างกายจะดึงไขมันส่วนเกินออกมาใช้เป็นพลังงานทำให้น้ำหนักลดลง นั่นเอง