วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ปรับสมดุลชีวิตง่ายๆด้วยตัวเอง


การแพทย์แผนตะวันออกเชื่อว่า สุขภาพคนเราเกี่ยวพันกัน 3 ส่วน คือ กาย จิต และสิ่งแวดล้อม เมื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสียสมดุลย่อมส่งผลต่อร่างกาย และทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ตั้งแต่ ปวดหัว ตัวร้อน จนถึงโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งได้ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของสังคม วัฒนธรรม ช่วงเวลา และพื้นฐานของแต่ละคนแตกต่างกัน การดูแลสุขภาพรูปแบบต่างๆ จึงไม่ได้เหมาะสมสำหรับทุกคน

บันได 5 ขั้นเพื่อสมดุลชีวิต
ขั้นที่ 1 ฟังเสียงร่างกาย
คุณ สามารถสังเกตได้ว่าสิ่งไหนที่เหมาะกับตัวเอง หากรู้สึกร้อนหรือหนาวเกินไป รู้สึกเจ็บปวด หรือแสบ ควรหยุดพฤติกรรมที่ส่งผลด้านลบต่อร่างกายนั้นทันที เพราะร่างกายเรามีความฉลาดพอที่แยกแยะสิ่งดีและไม่ดีร่างกาย แต่ทั้งนี้ต้องสังเกตด้วยนะคะ ว่าเสียงนั้นเป็นความต้องการของร่างกายจริงๆ หรือเกิดจากกิเลสในใจเราเอง

ขั้นที่ 2 สังเกตความเปลี่ยนแปลง
เมื่อ ร่างกายเสียสมดุลอาจแสดงออกทางส่วนต่างๆ ของร่างกาย หากหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงก็สามารถแก้ไขและป้องกันตนเองจากโรคภัยไข้ เจ็บได้ทัน เช่น ความผิดปกติที่ตา มีอาการตาห้ง ตาขาวขุ่น ตามีสีเหลือง , ริมฝีปากแห้ง แตกลอก , ลิ้น สามารถดูได้ทั้งสี รูปร่าง และขอบลิ้น , กลิ่นปาก หรือเล็บ ซึ่งสังเกตได้ทั้งสีและรูปทรงของเล็บ ถ้าเล็บขาว อาจมีปัญหาที่ตับ เล็บเป็นสีแดง บวมโต อาจมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ เล็บเหลือง หนา ยาวช้า อาจมีปัญหาที่ปอด เป็นต้น เรื่องเหล่านี้เป็นการสำรวจร่างกายในเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้สรุปว่าต้องป่วยเป็นโรคร้ายเสมอไป แต่เพื่อความไม่ประมาณคุณควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยอย่าง ละเอียดต่อไป

ขั้นที่ 3 ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
บ่อย ครั้งที่เราดำเนินชีวิตตามความพอใจ จนส่งผลเสียต่อร่างกาย การสร้างความสมดุลจึงต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เกิดความเหมาะสมทั้งต่อร่าง กายและจิตใจ โดยเริ่มจาก
ตื่น นอนแต่เช้ามืดก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ทำความสะอาดปากและฟันด้วยการแปรงฟัน และขูดทำความสะอาดลิ้น ซึ่งจะเป็นการบริหารลิ้นไปในตัวด้วย ดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว หรือตามความต้องการของร่างกาย เพราะน้ำจะช่วยขับของเสียทางไตและลำไส้ใหญ่ดีขึ้น
อาบน้ำชำระร่างกาย วันละ 2 ครั้ง
เข้า นอนก่อน 22.00 น. การนอนที่ดีต้องไม่ฝันและตื่นนอนด้วยความสดชื่น ควรนอนในเวลากลางคืนเท่านั้น ยกเว้นอ่อนเพลียหรือไม่สบาย หรือผู้สูงอายุสามารถนอนกลางวันได้
ไม่ควรนอนหลับในท่านอนคว่ำหน้า เพราะทำให้อวัยวะภายในถูกกดทับ
ขั้นที่4 สร้างสมดุลด้วยการบริโภค
กิน เมื่อรู้สึกหิว เพราะความหิวหมายความว่าร่างกายได้เผาผลาญอาหารมื้อก่อนหมดแล้ว การกินอาหารเมื่อยังไม่หิวเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยหลายอย่างทั้ง เบื่ออาหาร ท้องอืด ไปจนถึงการถ่ายอุจาระทันทีหลังจากกินอาหาร เลือดจาง หรือปวดท้องบ่อยๆ แต่ถ้าถึงเวลากินแล้วยังไม่รู้สึกหิวแสดงว่าธาตุไฟหรือระบบย่อยอาหารอาจเสีย สมดุล อย่ากินในขณะที่อารมณ์ผิดปกติ เพราะจะทำให้ระบบย่อยอาหารเสียสมดุลและทำงานได้ไม่เต็มที่ อาหารเช้าควรเป็นอาหารเบา เช่น ข้าวต้ม และควรกินก่อน 8.00 น. กินมื้อกลางวันก่อนเที่ยง ซึ่งควรเป็นมื้อที่หนักที่สุด และกินมื้อเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน (18.00 น.) เพราะการกินมื้อเย็นในตอนค่ำระบบเผาผลาญอาหารจะทำได้ไม่ดี (แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ ก็ไม่ควรกินอาหารมากจนเกินไป) กินอิ่มมากเกินไปไม่ดีต่อสุขภาพ และควรเคี้ยวอาหารช้าๆ ไม่ควรดื่มน้ำมากก่อนหรือหลังกินอาหารเพราะมีผลต่อระบบย่อยอาหาร กินอาหารในบรรยากาศที่รื่นรมย์ สถานที่เหมาะสม ไม่มีเสียง กลิ่น หรือสิ่งรบกวน หลังกินอาหารควรนั่งพัก 2-3 นาที แล้วอาจเดินเล่น 10-20 นาที เพื่อช่วยย่อยอาหาร
งดอาหารสัปดาห์ละ 1 วัน เพื่อช่วยลดพิษในร่างกาย
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
อาหารจานด่วน
เพราะ อุดมไปด้วยแป้ง ไขมัน น้ำตาล โปรตีน และมีแคลอรี่เกินกว่าที่ร่างกายต้องการ อาหารที่มีโปรตีนมากเกินไป ในผู้ใหญ่ร่างกายต้องการโปรตีนวันละ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่ในเด็กและวัยรุ่นอาจต้องการโปรตีนมากกว่านั้นเล็กน้อย เมื่อร่างกายย่อยโปรตีนใช้แล้วจะเกิดกรดยูริกขึ้น หากบริโภคโปรตีนมากเกินไป กรดยูริกส่วนเกินจะเข้าสู่กล้ามเนื้อ สะสมและตกตะกอน ทำให้ปวดเมื่อยเวลาเคลื่อนไหว ถ้ากรดยูริกไปตกตะกอนที่ข้อต่อจะทำให้กลายเป็นโรคเกาต์ หรือหากไปรวมอยู่ในเส้นประสาทจะกลายเป็นโรคเส้นประสาทอักเสบและเกิดอาการปวด ตามเส้นประสาท นอกจากนี้โปรตีนที่มากเกินไปยังทำให้ไตทำงานหนัก และอาจทำให้ไตพิการในผู้สูงอายุ
เนื้อสัตว์บางประเภท
ก่อน ที่สัตว์จะถูกฆ่า โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ จะปล่อยสารแห่งความกลัว เช่นฮอร์โมนอะดรีนาลินออกมา ซึ่งสารเหล่านี้ยังตกค้างอยู่ทั่วไปในเนื้อสัตว์ เมื่อเรากินเนื้อเข้าไปจึงได้รับสารพิษเหล่านี้เข้าไปด้วย
น้ำตาลทรายและแป้งขัดขาว
เป็น สาเหตุของโรคกระดูกผุ เพราะร่างกายต้องดึงแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบีรวมมาช่วยย่อยน้ำตาล การกินหวานมากเกินไปยังทำให้ร่างกายใช้พลังงานจากน้ำตาลไม่หมด และเก็บสะสมไว้ในรูปของไขมันตามส่วนต่างๆ ทำให้เกิดโรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน และฟันผุ
แป้งขัดขาว หรือข้าวขัดขาวทุกชนิด
มี คุณค่าทางอาหารน้อย มีเพียงคาร์โบไฮเดรตเท่านั้น ซึ่งต้องใช้วิตามินบีมาช่วยในการย่อย แต่แป้งขัดขาวไม่มีวิตามินปะปนอยู่เลย ทำให้ร่างกายต้องดึงวิตามินในร่างกายมาใช้ จึงเกิดการเสียสมดุลขึ้น น้ำอัดลม เป็นเพียงพลังงานเทียม ไม่มีสารอาหารใดๆ ทั้งวิตามิน และกรดอะมิโน การกินน้ำอัดลมทำให้ตับต้องทำงานหนักเพื่อขจัดพิษ จนเกิดภาวะตับโตได้
สุรา กาแฟ
มีผลกระทบโดยตรงต่อแคลเซียมในร่างกาย และทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน
อาหารเย็นจัด หรือร้อนจัด
อาหาร ที่เย็นจัดเกินไปทำให้เพดานในปากเกิดอาการช็อค มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน การกินอาหารเย็นจัดจึงควรกินช้าๆ และค่อยๆกิน เช่นเดียวกับอาหารร้อนจัดเมื่อกินเข้าไปก็ส่งผลต่อกระเพาะ และลำไส้ได้

ขั้นที่ 5 สร้างสมดุลใจ
มี การพิสูจน์แล้วว่าเมื่อจิตใจไม่ดี ทั้งคิดร้ายหรือซึมเศร้า ร่างกายจะหลั่งสารเคมีพิษบางอย่างออกมา ทำให้ส่งผลกระทบต่อร่างกาย การคิดเชิงบวกจึงมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า โดยอาจเริ่มจากการยึดหลักธรรม อาทิ พรหมวิหาร 4 หรืออิทธิบาท4 ในการดำเนินชีวิต , หมั่นฝึกจิตด้วยการนั่งสมาธิวันละประมาณ 10 นาที และทำบุญในแบบที่คุณชอบ เช่นบริจาคโลหิต บริจาคหนังสือ หรือเข้าวัด ฟังธรรมะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น